เรื่องราวเหล่านี้ รวบรวมจากห้องสนทนา ใน www.mycacti.com และบทความจากท่านผู้รู้ กรุณาเผยแพร่ และอนุญาตให้เผยแพร่ต่อ ความรู้มากมาย ก่อเกิด จากการแบ่งปัน แลกเปลี่ยน บนพื้นฐานของมิตรภาพ และความเข้าใจถึงการสืบเนื่องแห่งองก์ความรู้ เพื่อถ่ายทอด สู่ชนรุ่นต่อ ๆ ไป เนื่องจากเป็นการรวบรวมข้อสนทนา ข้อมูลบางด้านยังไม่สมบูรณ์ ท่านที่จะเพิ่มเติมข้อมูลอื่น เพิ่มเติมได้เลยค่ะ ตอนท้ายบทความ จะเห็น 0 comment คลิกเข้าไปเพิ่มข้อความได้เลย.................... ด้วยความขอบพระคุณ www.mycacti.com ตุลาคม 2551

Monday, October 6, 2008

Caudiciform ไม้โขด





03642 - พาชี่ แคคตัส succulent harvotias euphobia
เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร
- นก ftikkn -
[21 ก.พ. 2550]


เป็นมือ ใหม่ที่หลงใหลในแคคตัส แต่เริ่มมี harvotias euphobia และพาชี่ มาปะปนบ้างแล้ว เลยเกิดอาการสับสนว่าแต่ละประเภทแตกต่างกันอย่างไร วิธีเลี้ยงดู การจำแนกขั้นต้นทำอย่างไร เพราะเวลาไปร้านแคคตัส จะเห็นทั้งหมดผสมกันอยู่ (สำหรับที่ขอนแก่นนะ) หรือไปจตุจักร ก็จะเห็นมีอยู่ด้วยกันในร้านเดียวกัน รบกวนขอความรู้เพิ่มเติมด้วยค่ะ โดยเฉพาะวิธีดูแล แต่ละประเภทว่าแตกต่างกันมากน้อยขนาดไหน เพื่อชีวิตอันยืนยาวของไม้อันเป็นที่รักค่ะ ขอบคุณค่ะ




ไม้พวกนี้เค้าจำแนกตามวงศ์ (family) ครับ
ซึ่งในทางวิทยาศาสตร์เค้าใช้ความแตกต่างของดอกเป็นตัววัด

การจำแนกขั้นต้น
Haworthia/Aloe/Gasteria อยู่วงศ์เดียวกัน
เป็นไม้อวบน้ำที่ใบ ดอกเล็กๆออกบนก้านยาวๆ


Euphorbia/Monadenium กลุ่มนี้ดูง่ายๆ
เวลาเป็นแผลจะมียางขาวๆออกมา อย่าโดนผิวนะครับ
ยิ่งเข้าตานี่แสบสุดๆ ดอกเค้ามักจะเป็นตุ่มเล็ก ไร้กลีบที่แท้จริง
หรือถ้ามีสีสันก็เป็นแค่ใบประดับเช่นต้นโป๊ยเซียน
Euphorbia หลายชนิดคล้ายแคคตัสมาก แต่จะไม่มีareole
หรือตุ่มหนามที่มีขนเหมือนแคคตัส

Pachypodium, ก็อีกกลุ่ม ญาติๆชวนชม(Adenium)นั่นเอง
ดูง่ายๆคือเค้าจะมีใบเขียวๆเสมอยกเว้นเวลาพักตัว
ลำต้นอวบน้ำส่วนใหญ่มีหนาม ยกเว้น
P. decaryi
ที่ไม่มี ดอกออกเป็นช่อเล็กๆ สีเหลือง ขาว หรือแม้แต่แดงก็มี

การเลี้ยงดูเหมือนแคคตัสเลยครับ ยิ่งPachyนี่ง่ายมาก
กลางแจ้งได้เลยครับ

ส่วน Haworthia อาจจะอยู่ร่มได้มากกว่าแคคตัสครับ

BEE [21 ก.พ. 2550]





เติมคุณBEE ในส่วนที่คุณนกอาจยังไม่เข้าใจครับ

ที่จริงแล้วไม้ทั้งหมดที่คุณนกกล่าวถึงนั้น
ล้วนเป็นไม้ที่เก็บน้ำไว้ในตัวมากๆทั้งสิ้น
แต่เพื่อไม่ให้เกิดสับสน นักวิชาการ
จึงจำแนกไม้ออกเป็นสองกลุ่มใหญ่
และนักสะสมมักจะเล่นไปด้วยกันคือ

1. กลุ่มแคคตัส[Cactus]ไทยเราเรียก กระบองเพชร

2. กลุ่มไม้อวบน้ำ[Succulent]
เป็นกลุ่มไม้อวบน้ำหรือไม้เก็บน้ำต่างๆ
ที่ไม่ใช่แคคตัส เช่น ฮาวอร์เทีย
แพคชี่โพเดียม ยูโฟเบีย อะโล
อะเดเนี่ยม แกสที่เรีย ฯลฯ

MONT. [22 ก.พ. 2550]






เรื่องของการอนุกรมวิธาน หรือการจัดจำแนกพืชนั้นเป็นเรื่องที่มีความเปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอดเวลา
ทั้งนี้เพราะวิทยาการที่ก้าวหน้าไป ทำให้พวกนักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษา
ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิต จากที่เคยวิเคราะห์แต่สรีระภายนอก
ปัจจุบันเขาได้ใช้วิทยาการศึกษาลึกลงไปถึงความเกี่ยวข้องในระดับหน่วยพันธุกรรม
และค้นพบว่า พืชพันธุ์หลายชนิดที่เคยจัดจำแนกไว้ในระบบเดิม
แท้จริงหลายชนิดไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกัน หรือว่าหลายชนิดที่เคยอยู่คนละวงศ์
กลับต้องจับมารวมกัน ทำให้ขณะนี้ มีพันธุ์ไม้หลายวงศ์มีการย้าย หรือปรับยุบรวม
ซึ่งพวกไม้อวบน้ำหลายอย่างที่เราคุ้นเคย ก้ถูกโยกย้ายเปลี่ยนแปลงไปด้วย

ยกตัวอย่างเมื่อก่อนพวกไม้อวบน้ำในสกุล Agave, Yucca, Aloe, Haworthia, Gasteria ฯลฯ
เคยจัดไว้ในวงศ์เดียวกัน คือ liliaceae ซึ่งต่อมานักพฤกษศาสตร์ก็มาจัดแยกใหม่
โดยให้พวก Agave และ Yucca ไปอยู่ในวงศ์ Agavaceae
ส่วนพวก Aloe, Haworthia, Gasteria ไปอยู่ในวงศ์ Aloaceae
กระทั่งล่าสุดหลังจากมีการวิเคราะ DNA ถึงความเกี่ยวพันแล้ว ก็ได้จัดจำแนกวงศ์ใหม่
โดยตั้งวงศ์ Asphodelaceae ขึ้นมา ซึ่งประกอบด้วยสกุล ทั้งที่เป็นไม้อวบน้ำ และไม่ค่อยอวบน้ำต่างๆ
มารวมกันเอาไว้ ได้แก่สกุล Aloe, Astroloba, Bulbine, Chortolirion,
Gasteria, Haworthia, Poellnitzia, และTrachyandra

นอกจากนี้ยังทำให้ วงศ์ Aclepiadaceae ที่เคยเป็นวงศ์ของพวก
สกุล เก๋ง (Huernia, Stapelia รวมทั้ง Hoya) ชนิดต่างๆ ถูกยุบลงไปเป็นเพียง
วงศ์ย่อย (subfamily) Asclepiadoideae อยู่ภายใต้
วงศ์ Apocynaceae ของพวก ชวนชม ลั่นทม และพาชี่ นั่นเอง

ที่น่าแปลกมาก็คือ เค้าเพิ่งพบว่า ต้นบัวผุด (Rafflesia spp.)
พืชกาฝากที่มีดอกใหญ่ที่สุดในอาณาจักรพืชนั้น แท้จริงมีความสัมพันใกล้ชิดอย่างยิ่ง
กับพืชในวงศ์ โป๊ยเซียน (วงศ์ Euphorbiaceae) ที่เราเล่นกันเป็นไม้อวบน้ำอยู่มากมายนั่นเอง

ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าวิทยาการก้าวหน้าขึ้นไปอีก อาจจะพบว่าแท้จริงแล้ว
มนุษย์เป็นญาติใกล้ชิดกับโลมา หรือวาฬก็เป็นได้น่ะ

ป้อง (Fat Man) [23 ก.พ. 2550]


บังเอิญผมเคยเรียน เรื่อง อนุกรมวิธานมาบ้าง เลยอยากเข้าใจพวกเขาให้มากขึ้น เเต่เรียนถึงเเค่ วงศ์ ยังไม่ลึกถึง จีนัส ที่ได้ยินบ่อยๆจะเป็นจีนัสเสียมากกว่า
ขอบคุณ อ.มนตรี เเละคุณป้อง มากครับ
(ตอนเรียน วงศ์ โฮย่ายังไม่ถูกยุบเลย )

โฟร์ [25 ก.พ. 2550]


ที่จริงการจัดจำแนกสิ่งมีชีวิตนี่มันเป็นเรื่องที่คนเราพิจารณาและตั้งกฏเกณฑ์กันขึ้นมาเอง
ซึ่งพันเปลี่ยนไปตามวิทยาการที่ก้าวหน้าขึ้น โดยใช้เหตุผลและอาจบวกกับความคิดเห็น
เฉพาะตัวของนักพฤกษศาสตร์ที่ทำการศึกษาพืชวงศ์นั้นๆ ว่าอยากจะใช้พืชต้นไหน
สกุลใดมาเป็นต้นแบบในการจัดจำแนกวงศ์ขึ้นมา ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
ก็มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขให้สอดคล้องกับเหตุผล
ที่ต่างคนต่างก็ศึกษาและยกมาอ้างอิง
บางทีก็ได้รับการยอมรับ และบางทีก็มีความเห็นขัดแย้งครับ

ที่คุณ โฟร์ ถามว่าเปลี่ยนชื่อมั้ย ถ้าหมายถึงชื่อสกุล Aloe ก็ยังคงอยู่เหมือนเดิมครับ
แต่ก็อาจมีการยุบสกุล Lomatophyllum ที่มีอยู่ราวๆ สิบชนิด
และมีถิ่นกำเนิดบนเกาะมาดากัสการ์ มารวมกับสกุล Aloe

ป้อง (Fat Man) [25 ก.พ. 2550]






ชอบปลูกต้นไม้อยู่แล้วคือพวกกุหลาบหินเป็นหลัก เห็นกระทู้คุณป้องพาเดินทัวร์จตุจักร มีหลายร้านน่าสนใจ แต่ที่น่าสนใจที่สุดเห็นจะเป็น caudiciform ที่หัวใหญ่ ๆ
caudiciform นี่คือไม้อวบน้ำใช่มั้ยครับ เหมือนกับ sukulent รึเปล่า
แล้วเห็นตัวที่เหมือนหัวแส้ม้า เป็นคนละตัวกับที่เจอขายทั่วไปเหรอครับ เห็นสวยกว่ากันแปลกตาดี

สงสัยอยู่อย่างคือที่ว่าจัดอยู่ในทำเนียบ Top Ten ของไม้ประเภท Caudiciform เลยอยากทราบด้วยว่าอันดับ Top Ten นี่มีต้นอะไรบ้าง ถ้าเก็บตังได้เยอะ ๆก็อยากจะสะสมให้ครบ (สงสัยคงต้องอดกินข้าวอีกหลายมื้อ บางอย่างเห็นแล้วไม่กล้าถามราคา)
เอ่อนอกจากจตุจักรนี่ที่อื่นมีขายไม้แปลกอีกมั้ยครับอยากหาเวลาว่างเดินให้ทั่ว ๆเลย
โดย โทนี่ [7 ก.ค. 2550 , 22:41:38 น.]

Caudiciform หรือบางทีก็จะใช้ว่า Caudex Plant, Pachyform, Pachycaul, Fat Plant
เป็นชื่อที่นักวิชาการด้านพืชสวน (Horticulturist) รวมทั้งนักเล่นต้นไม้ของฝรั่งเค้าบัญญัติขึ้นมาไว้ใช้เรียก
พวกไม้อวบน้ำ (Succulent) กลุ่มหนึ่งที่มีส่วนใดส่วนหนึ่งของลำต้น หรือรากทำหน้าที่เก็บสะสมน้ำและอาหาร จนมีลักษณะอวบอ้วนเป็นพิเศษ
โดยที่ส่วนใบหรือกิ่งก้านอาจจะมี หรือไม่มีลักษณะที่อวบน้ำ และส่วนใหญ่มักจะทิ้งใบ หรือกิ่งก้านออกเพื่อพักตัวในช่วงฤดูแล้งตามธรรมชาติครับ

ผมเองได้บัญญัติศัพท์คำว่า "ไม้โขด" ขึ้นมา เพื่อใช้เรียกไม้อวบน้ำกลุ่มนี้เมื่อครั้งที่ช่วยทำบทความสัมภาษณ์นักสะสมต้นไม้ในนิตยสารบ้านและสวน
ในช่วงสามสี่ปีก่อนที่ไม้โขดเริ่มจะป็นที่รู้จักแพร่หลายในกลุ่มผู้เล่นต้นไม้ โดยเฉพาะผู้ที่เล่นกระบองเพชรและไม้อวบน้ำในบ้านเราครับ

ในหมู่นักเล่นต้นไม้ในบ้านเรานั้น แต่เดิมก็ไม่ค่อยจะมีใครรู้จักไม้อวบน้ำกลุ่มนี้ซักเท่าไหร่
หรือถึงมีเลี้ยงอยู่ก็ไม่ได้แยกแยะว่าเป็นไม้อวบน้ำกลุ่มพิเศษ ที่แตกต่างจากไม้อวบน้ำที่เลี้ยงอยู่ทั่วๆไป
และบางทีก็ไม่รู้เลยว่าในอีกซีกโลกตะวันตกนั้น เค้าได้จัดให้ต้นไม้ที่เรามีกันอยู่บางตัวเป็นพวกไม้โขดนี่ด้วย
อย่างเช่นต้นชวนชม (Adenium obesum) ไม้ต่างถิ่นจากแถบทวีปแอฟริกา
ต้นหนุมานนั่งแท่น (Jatropha podagrica) ที่เป็นพันธุ์ไม้ต่างถิ่นจากแถบอเมริกากลางและนำเข้ามาในบ้านเรานานแล้ว
หรือพวกว่านสบู่เลือด (Stephania spp.) ที่เป็นไม้สมุนไพรท้องถิ่นของบ้านเราแต่ดั้งเดิม เป็นต้น

ไม้โขด จึงไม่ได้เจาะจงว่าเป็นไม้วงศ์ใด หรือสกุลใดโดยเฉพาะ
แต่หมายถึงไม้หลากหลายชนิดจากพืชวงศ์ต่างๆที่มีลักษณะร่วมกันในรูปลักษณ์ดังที่กล่าวมาครับ

ที่จริงต้นแส้ม้า หรือปาล์มหัวโต (Beaucarnea recurvata) ก็จัดเป็นไม้โขดเหมือนกันครับ
และเป็นคนละชนิดกับเจ้า Calibanus hookeri ทั้งสองเป็นญาติใกล้ชิดอยู่ในวงศ์เดียวกัน คือวงศ์ Nolinaceae
ทั้งคู่มีส่วนโคนต้นเป็นโขดขนาดใหญ๋ยักษ์ได้พอๆ กัน แต่แส้ม้าจะมีลำต้นสูงได้หลายๆ เมตร
ในขณะที่ Calibanus จะแตกใบคล้ายหญ้าสีฟ้าเป็นกออยู่ติดกับส่วนโขด

ที่จริงคำว่า Top Ten ที่ว่านั้น ก็แล้วแต่มุมมองว่าใช้อะไรเป็นเกณฑ์
ในที่นี้เค้าพิจารณาจากความยิ่งใหญ่ สวยงาม บวกกับความนิยมในกลุ่มผู้เล่นไม้โขด
โดยคัดมาจาก Popular list ในไม้โขดแต่ละประเภท อันได้แก่

Dioscorea elephantipes หรือต้นกระดองเต่า เป็น Top ของพวก Yam Plant
Pachypodium brevicaule เป็น Top ของพวก Pachypodium
Calibanus hookeri เป็น Top ของพวกแส้ม้าทั้งหลายในวงศ์ Nolinaceae
Adenium socotranum เป็น Top ของพวก Desert Rose หรือที่บ้านเราเรียกกันว่า "ชวนชม"
Operculicarya pachypus เป็น Top ของพวกไม้โขดที่เป็น pachycaul tree
Cyphostemma uter เป็น Top ของพวก Grape desert จัดว่าหายาก และแพงสุดๆ ต้นนึง
Adenia pechuelii เป็น Top ของพวกสกุลAdenia และยังจัดเป็นไม้โขดที่มีราคาแพงที่สุดในโลกด้วยบางต้นเสนอขายกันหลายพันเหรียญ
Euphorbia cylindripholia var. tuberifera เป็นอันดับต้นๆ ของกลุ่มTop ในจำพวกไม้โขดยูโฟเบีย
Dorstenia gigas เป็น Top ของสกุล "มะพร้าวทะเลทราย"
Zygrosicyos tripartitus เป็นหนึ่งในห้าอันดับTop 5 ของพวกไม้โขดวงศ์แตง

อย่างไรก็ตาม ไม้บางตัวก็ไม่ค่อยเหมาะจะมาเลี้ยงในบ้านเราซักเท่าไหร่ อย่างต้นกระดองเต่าแอฟริกา (Dioscorea elephantipes)
ซึ่งไม้ตัวนี้ชอบอากาศค่อนข้างเย็น และพ่ายแพ้อ่อนแอต่อเชื้อไฟท็อบเทอรร่าของบ้านเรา จึงเลี้ยงยากถึงยากมาก มักเน่าตายในฤดูพักตัว
แต่ก็มีตัวที่จัดว่าสวยงามยิ่งใหญ่พอๆ กันคือ D. mexicana จากเม็กซิโกที่เลี้ยงเติบโตได้ดีในบ้านเราให้เลือกเล่นได้

อยากบอกว่าที่จริงแล้วไม้โขดนั้นมีมากมายหลากหลายให้เราเลือกเล่น หรือสะสมอยู่อีกเป็นพันชนิด
และไม่จำเป็นจะต้องไปยึดถือเอาค่านิยมที่ฝรั่งเค้ากำหนดไว้ก็ได้
และแม้แต่ไม้ป่าพื้นเมืองของบ้านเราเอง เช่นพวกสกุลสบู่เลือด (Stephania)
หรืออย่างพวก มะยมเงินมะยมทอง (Phyllanthus mirabilis) ก็จัดเป็นไม้โขดที่ยิ่งใหญ่น่าสนใจไม้แพ้ไม้ของต่างประเทศเลยทีเดียว

ถ้าเพื่อนๆ สนใจพวกไม้โขด อยากให้ลองเปิดเข้าไปอ่าน และดูภาพความมหัศจรรย์ของไม้อวบน้ำกลุ่มนี้ได้ในเวบนี้ครับ
รวมทั้งในกระทู้ไม้โขดที่พี่เป้าได้รวบรวมไว้เป้นหัวข้อในหน้าหลักครับ

http://www.bihrmann.com/caudiciforms/

โดย ป้อง [8 ก.ค. 2550 , 09:07:21 น.]




http://www.bihrmann.com/caudiciforms/

โดย ป้อง [8 ก.ค. 2550 , 09:07:21 น.] ( IP = 124.121.2.233 : : )

ข้อความ 2

ขอบคุณพี่ป้องมากครับ สำหรับความรู้เรื่องไม้โขดนี้ ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ชอบไม้โขดมากแต่ก็ยังไม่มีความรู้เรื่องนี้สักเท่าไร ได้อ่านกระทู้นี้ทำให้ได้ความรู้ขึ้นอีก 1 ขั้นครับ ^^

โดย นนท์ [8 ก.ค. 2550 , 12:49:07 น.] ( IP = 125.26.139.147 : : )

ข้อความ 3

ขอบคุณมากนะครับ

โดย เอก [8 ก.ค. 2550 , 18:19:46 น.] ( IP = 124.121.90.234 : : )

ข้อความ 4

เซฟเก้บไว้เรียบร้อยแล้วครับผม
ขอบคุณพี่ป้องมากครับ

โดย PBB247/ตู่ครับ [9 ก.ค. 2550 , 08:19:08 น.] ( IP = 203.185.130.74 : : )

ข้อความ 5

ขอบคุณมากมากคับ

โดย โทนี่ [10 ก.ค. 2550 , 00:22:23 น.] ( IP = 58.9.135.112 : : )

ข้อความ 6

จัดlistได้ตรงใจผมมากๆเลยครับพี่ป้อง แต่บางต้นผมยังไม่มีปัญญาซื้อจริงๆ เก็บให้ครบนี่คงไม่ง่ายแน่ๆ อิอิ

โดย BEE [10 ก.ค. 2550 , 16:31:24 น.] ( IP = 139.222.238.137 : : )

ข้อความ 7

เริ่มแรก ไม่ได้ชอบเล้ย
ดูไปอ่านไป ได้อารมณ์ ก็เริ่มมีกับเค้าบ้างค่ะ ขอบคุณคุณป้องที่ให้ความรู้นะคะ

โดย เปาะ [11 ก.ค. 2550 , 20:55:49 น.] ( IP = 58.8.192.143 : : )

ข้อความ 8

ครับ ไม้โขดมีเสน่ห์และน่าหลงใหลจริงๆ จนมีคำกล่าวว่า "You are not alone with Caudex"
ภาพนี้คงช่วยยืนยันคำกล่าวนั้นได้อย่างดีครับ ต้นนี้น่าจะเป็นเจ้า Cyphostemma currorii น่ะครับ


ส่วนนี่ก็เจ้า Cyphostema uter ที่จัดเป็น "Holy Grail" ของบรรดานักสะสมไม้โขดหายาก ราคาไม่ต้องพูดถึง !


นี่ต้นโตในธรรมชาติแถวแองโกล่า และนามีเบีย อลังการสุดๆ เลยทีเดียว


แต่ที่สุดยอดยิ่งกว่าคือเจ้านี่ครับ Adenia pechuelii
ต้นนี้ในเมืองไทยก็มีนักเล่นใจถึงสั่งเข้ามาแล้วน่ะครับ ราคาค่าตัวเท่าที่ทราบนั้นก็หลายหมื่นบาทเลยทีเดียว


นี่ตอนที่แตกใบ เป็นกอใหญ่อยู่ในเขตแห้งแล้งของ ประเทศนามีเบีย ทางฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของทวีปแอฟริกาครับ
เจ้านี่ก็อยู่ไม่ไกลจากเจ้าต้นปีศาจทะเลทราย (Welwitschia mirabilis) ครับ


ปิดท้ายด้วยต้นแส้ม้าฟ้า (Calibanus hookeri) จากเม็กซิโก เป็นไม้โขดที่น่าเลี้ยงอีกต้นนึงครับ



โดย ป้อง [12 ก.ค. 2550 , 15:35:56 น.] ( IP = 124.120.11.117 : : )






camera is a device used to capture images, either as still photographs or as sequences of moving images (movies or videos). The term comes from the camera obscura (Latin for "dark chamber"), an early mechanism of projecting images where an entire room functioned as a real-time imaging system; the modern camera evolved from the camera obscura.
Cameras may work with the light of the visible spectrum or with other portions of the electromagnetic spectrum. A camera generally consists of an enclosed hollow with an opening (aperture) at one end for light to enter, and a recording or viewing surface for capturing the light at the other end. A majority of cameras have a lens positioned in front of the camera's opening to gather the incoming light and focus all or part of the image on the recording surface. The diameter of the aperture is often controlled by a diaphragm mechanism, but some cameras have a fixed-size aperture.
[edit] History
Main article: History of the camera
Camera obscura.
The forerunner to the camera was the camera obscura. The camera obscura is an instrument consisting of a darkened chamber or box, into which light is admitted through a convex lens, forming an image of external objects on a surface of paper or glass, etc., placed at the focus of the lens.[1] The camera obscura was first invented by the Iraqi scientist Ibn al-Haytham (Alhazen) as described in his Book of Optics (1015-1021).[2] Irish scientist Robert Boyle and his assistant Robert Hooke later developed a portable camera obscura in the 1660s.[3]
The first camera that was small and portable enough to be practical for photography was built by Johann Zahn in 1685, though it would be almost 150 years before technology caught up to the point where this was practical. Early photographic cameras were essentially similar to Zahn's model, though usually with the addition of sliding boxes for focusing. Before each exposure, a sensitized plate would be inserted in front of the viewing screen to record the image. Jacques Daguerre's popular daguerreotype process utilized copper plates, while the calotype process invented by William Fox Talbot recorded images on paper.
The first permanent colour photograph, taken by James Clerk Maxwell in 1861.
The first permanent photograph was made in 1826 by Joseph Nicéphore Niépce using a sliding wooden box camera made by Charles and Vincent Chevalier in Paris. Niépce built on a discovery by Johann Heinrich Schultz (1724): a silver and chalk mixture darkens under exposure to light. However, while this was the birth of photography, the camera itself can be traced back much further. Before the invention of photography, there was no way to preserve the images produced by these cameras apart from manually tracing them.
The development of the collodion wet plate process by Frederick Scott Archer in 1850 cut exposure times dramatically, but required photographers to prepare and develop their glass plates on the spot, usually in a mobile darkroom. Despite their complexity, the wet-plate ambrotype and tintype processes were in widespread use in the latter half of the 19th century. Wet plate cameras were little different from previous designs, though there were some models, such as the sophisticated Dubroni of 1864, where the sensitizing and developing of the plates could be carried out inside the camera itself rather than in a separate darkroom. Other cameras were fitted with multiple lenses for making cartes de visite. It was during the wet plate era that the use of bellows for focusing became widespread.
The first colour photograph was made by James Clerk Maxwell, with the help of Thomas Sutton, in 1861[4]
[edit] Mechanics
[edit] Image capture
19th century studio camera, with bellows for focusing.
Traditional cameras capture light onto photographic film or photographic plate. Video and digital cameras use electronics, usually a charge coupled device (CCD) or sometimes a CMOS sensor to capture images which can be transferred or stored in tape or computer memory inside the camera for later playback or processing.
Cameras that capture many images in sequence are known as movie cameras or as ciné cameras in Europe; those designed for single images are still cameras. However these categories overlap, as still cameras are often used to capture moving images in special effects work and modern digital cameras are often able to trivially switch between still and motion recording modes. A video camera is a category of movie camera that captures images electronically (either using analogue or digital technology).
[edit] Focus
Auto-focus systems can capture a subject a variety of ways; here, the focus is on the person's image in the mirror.
Due to the optical properties of photographic lenses, only objects within a limited range of distances from the camera will be reproduced clearly. The process of adjusting this range is known as changing the camera's focus. There are various ways of focusing a camera accurately. The simplest cameras have fixed focus and use a small aperture and wide-angle lens to ensure that everything within a certain range of distance from the lens, usually around 3 metres (10 ft) to infinity, is in reasonable focus. Fixed focus cameras are usually inexpensive types, such as single-use cameras. The camera can also have a limited focusing range or scale-focus that is indicated on the camera body. The user will guess or calculate the distance to the subject and adjust the focus accordingly. On some cameras this is indicated by symbols (head-and-shoulders; two people standing upright; one tree; mountains).
Rangefinder cameras allow the distance to objects to be measured by means of a coupled parallax unit on top of the camera, allowing the focus to be set with accuracy. Single-lens reflex cameras allow the photographer to determine the focus and composition visually using the objective lens and a moving mirror to project the image onto a ground glass or plastic micro-prism screen. Twin-lens reflex cameras use an objective lens and a focusing lens unit (usually identical to the objective lens) in a parallel body for composition and focusing. View cameras use a ground glass screen which is removed and replaced by either a photographic plate or a reusable holder containing sheet film before exposure. Modern cameras often offer autofocus systems to focus the camera automatically by a variety of methods.[5]
[edit] Exposure control
The size of the aperture and the brightness of the scene controls the amount of light that enters the camera during a period of time, and the shutter controls the length of time that the light hits the recording surface. Equivalent exposures can be made with a larger aperture and a faster shutter speed or a corresponding smaller aperture and with the shutter speed slowed down.

No comments:

My Blog List